กลูต้าไธโอน รักษาไขมันพอกตับได้จริงหรือ ?

กลูต้าไธโอน

การลดไขมันพอกตับที่สามารถทำได้เองในเบื้องต้นก่อนจะพบแพทย์ก็คือ ลดน้ำหนัก คุมการกินอาหารให้ดี การลดไขมันคือการเลือกกินให้ถูกต้อง อาหารที่กระตุ้นให้เกิดไขมันพอกตับ ลดสุรา กินใก้น้อย งดเลยได้ยิ่งดี งดอาหารทะเล ยกเว้นปลา เพราะอาหารทะเลส่วนใหญ่มีไตรกลีเซอไรด์เยอะ งดอาหารทอดและมันเยอะๆ นม เนย ชีส กะทิ เบเกอรี่ ของหวานต่างๆ

กลูต้าไธโอน รักษาไขมันพอกตับได้หรือไม่

นอกการเลือกกินอาหารแล้ว ก็หมั่นออกกำลังกาย การออกกำลังกายหัวใจเป็นตัวที่เร่งการเผาผลาญในร่างกายให้สูงขึ้น แล้วทำให้ตับขับไขมันได้ดีขึ้น ออกกำลังแค่เพียงครึ่งชั่วโมงต่อวัน ทำ 5 วันต่ออาทิตย์

ถ้าทำสองอย่างแล้วยังไม่ดีขึ้น ก็หาตัวช่วยเร่งให้เร็วขึ้นที่เรากำลังจะพูดถึงนั่นก็คือ กลูต้าไธโอน

กลูต้าไธโอน คือสารที่ร่างกายเราผลิตได้อยู่แล้ว ที่โรงพยาบาลสามารถเจาะเพื่อดูได้ว่าเรามีสารกลูต้าไธโอนเยอะไหม ถ้ามีกลูต้าไธโอนเยอะ ตับก็จะแข็งแรงขับสารพิษได้มาก เมื่อขับสารพิษได้มากเราก็จะเหนื่อยยาก แรงเยอะ แข็งแรง ถ้าเป็นนักกีฬา เราจะต้องเจาะกลูต้าไธโอนอยู่แล้ว เพราะเมื่อไหร่ที่มีกลูต้าไธโอนเยอะจะเล่นกีฬาเสร็จแล้วไม่เมื่อย ไม่ล้า

วิตามินที่บำรุงกลูต้าไธโอนมีหลายตัว ตัวที่ดังจากต่างประเทศคือ Milk Thistle ตัวนี้มีสารออกฤทธิ์ชื่อซิลิมาริน ซิลิมารินตัวนี้เป็นตัวที่ช่วยเพิ่มกลูต้าไธโอนในตับของมนุษย์ คนที่กินเหล้าหนักๆ กินยาพาราเซตามอนเกินขนาด กินวิตามินกลุ่มนี้ช่วยได้

จริงๆ ของไทยก็มีเหมือนกัน บ้านเรามีพืชอยู่หนึ่งชนิด เป็นพืชไม้เลื้อย ช่วยในการล้างตับและช่วยในการ Detoxification หรือการขับพิษในตับได้ดีมาก ชื่อ “รางจืด”

รางจืด

รางจืด เป็นพืชไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง ภาษาอังกฤษมีชื่อว่า Thunbergia Laurifolia ใบของรางจืดมีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญในการเพิ่มกลูต้าไธโอนในตับมนุษย์ เพราะฉะนั้นแล้วตัวนี้เป็นสมุนไพรก็ตาม แต่มีการวิจัยไว้ด้วยว่ารางจืดช่วยให้เรื่องของการบำรุงตับให้ดีขึ้น

หากทำได้ทั้ง 3 ข้อตามที่แนะนำมา ก็จะพบว่าเอวเราเล็กลง นอนหลับได้ดีขึ้น ออกกำลังกายแล้วไม่เหนื่อย เราจะรู้สึกอยากลุกขึ้นมาทุกเช้าในการออกไปทำงาน ทำกิจกรรมต่างๆ ผิวพรรณสดใส ฝ้าจางลง หน้ามีออร่า

กลูต้าไธโอน เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากและใช้ในการแพทย์ แต่กลูต้าไธโอนที่แพร่หลายอยู่ในเมืองไทยที่ฉีดกันตามคลินิกไม่ใช่กลูต้าไธโอนไม่ดี แต่กลูต้าไธโอนที่ผลิตมาโดยไม่ถูกต้อง ไม่สะอาด มีสารปนเปื้อน จึงพบว่าเมื่อฉีดเข้าไปเยอะแล้วตาย เพราะฉะนั้นแล้วปรึกษาแพทย์ที่อยู่ในโรงพยาบาลว่าสมควรในการใช้ไหม